ขับเคลื่อนโดย Blogger.

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ภาพถ่ายน้ำตกกระทิง

ISO100, F/22, 1 Sec.

ได้มีโอกาสไปถ่ายภาพน้ำตกกระทิง ที่อุทยาทแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ จ.จันทบุรี วันนี้จึงนำภาพถ่ายน้ำตกมาฝากกันครับ

ISO100, F/22, 1/4 Sec.

ISO100, F/22, 1/4 Sec.

เนื่องจากเป็นน้ำตกที่มีถึง 13 ชั้้น ของเทือกเขาคิชฌกูฎ จึงขอนำภาพมาหลายๆภาพรวมกันเลยนะครับ
ISO100, F/18, 0.5 Sec.

เทคนิคการถ่ายภาพน้ำตก 

- ใช้ขาตั้งกล้อง วางให้มั่นคงแข็งแรง ระวังลื่นด้วย เนื่องจากเป็นหินที่ค่อนข้างลื่น
- จัดองค์ประกอบภาพให้เรียบร้อย 
- ใช้ฟิลเตอร์ ND เพื่อให้ได้สปีดชัตเตอร์ที่ต่ำ
- ควรพกน้ำไปด้วย เส้นทางชันและเหนื่อยเล็กน้อย สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นชินการเดินหนักๆ อาจจะเหนื่อยได้ครับ
- ดูรายละเอียดการเปิดค่ารับแสง สปีดชัตเตอร์ จากใต้ภาพเลยนะครับ


ขอให้มีความสุขสนุกกับการถ่ายภาพนะครับ GoodLight ^_^





วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

น้ำตกโยง

ได้มีโอกาสไป จ.นครศรีธรรมราช เลยได้แวะที่น้ำตกโยง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช
น้ำตกโยง 

เลยนำภาพจากน้ำตกโยง มาฝาก นิดหน่อยครับ

น้ำตกโยง 2


น้ำตกโยง 3
เทคนิคการถ่ายภาพ 
- หามุมเหมาะๆ กางขาตั้งกล้องให้กว้างๆ ทั้งสองภาพบนคือ(น้ำตกโยง2 และ น้ำตกโยง3) เอาขาตั้งกล้อง แช่ลงไปในน้ำด้วยครับ ซึ่งอันตรายมาก อาจจะลื่น เราตก หรือกล้องตกน้ำได้
- ใช้ฟิลเตอร์ ND ติดที่หน้ากล้อง สองภาพนี้ใช้ ND เพื่อให้ภาพมืดลง ทำให้ต้องเปิด speed shutter เพิ่มขึ้น 3 Stop ใช้เวลาถ่ายภาพประมาณ 2 วินาที



ลาไปด้วย ภาพน้ำตกโยงครับ ขอให้มีความสุขกับการถ่ายภาพนะครับ สวัสดี



วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

การถ่ายภาพกลางคืน lightpaint 3

ภาพถ่ายกลางคืน lightpaint 3



เทคนิคการถ่ายภาพ : ถ่ายตอนกลางคืน วัดแสงเฉลี่ย และใช้ไฟฉาย ส่องเพื่อเปิดรายละเอียด ที่ตัวหมุน 



ขอให้มีความสุขกับการถ่ายภาพนะครับ Goodlight ^_^

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

การถ่ายภาพกลางคืน light paint 2

สวัสดีครับ วันนี้แสดงภาพ 1 ภาพ ด้วยเทคนิคการถ่ายภาพแบบ light paint นะครับ

Light paint
เทคนิควิธีการถ่ายภาพ : ปิดไฟให้มืด แล้ว shutter speed นานๆ ภาพนี้ที่ 30 วินาที และใช้ไฟฉายแบบยิงเลเซอร์ สำหรับใช้ในพรีเซนเตชั่น และทำการระบายลงไปที่โทรศัพท์

เท่านี้เองครับ ก็จะได้ภาพแหวกแนวแบบนี้ ลองดูนะครับ


ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพครับ Goodlight ^_^

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

ภาพถ่ายกลางคืน จากจังหวัดกระบี่


ผมได้มีโอกาสแวะไปเยี่ยม จ.กระบี่ ช่วงสั้นๆ และได้ออกไปถ่ายภาพกลางคืนมาเล็กน้อย หลังจากเจอเพื่อนๆ พี่ๆ แล้วไปทานสุรากัน หุหุ กลับจากการทานสุรา ก็เลยมาถ่ายรูปกลางคืน ใจจริงอยากย้ายหลายๆสถานที่ หลายๆมุม แต่ก็ดึกมากแล้ว เพื่อนคนอื่นก็เมากันพอสมควรแล้วด้วย จึงได้อยู่แค่บริเวณเดียว



ภาพถ่ายกลางคืน จากจังหวัดกระบี่

เทคนิคการถ่ายภาพ ของภาพนี้ ก็จำเป็นต้องมีขาตั้งกล้อง แล้ววัดแสงภาพนี้ถ่ายที่ ISO 100, F/5.6, 15 วินาที

ภาพถ่ายนี้จะออกมาค่อนข้างพอดีแล้ว แต่แสงทางด้านซ้ายมือ จะสว่างเกินไป ผมถ่ายคล่อมภาพนี้ไว้ด้วย แต่เนื่องจากลม ทำให้เรือขยับตำแหน่งต่างกันไป การนำสองภาพมาทำรวมกันเพื่อให้ได้ภาพที่มีรายละเอียดครบทั้งส่วนสว่างและส่วนมืด (HDR) จึงไม่ค่อยสะดวกนัก

เนื่องจากภาพนี้ผมถ่ายมาเป็น Raw file การปรับแต่งจึงทำได้มากโดยที่ไม่เสียคุณภาพของภาพ ผมจึงปรับภาพนึงให้ค่า Exposure ลดลง, อีกภาพนึง ปรับให้สว่างขึ้น

แล้วนำสองภาพนี้มารวมกัน ตามแบบฉบับที่เขาเรียกกันว่า HDR ทั้งหลาย ภาพนี้ส่วนสว่างที่เกินไป จึงค่อนข้างพอดี ไม่สว่างจนเกินไปนัก

ภาพถ่ายที่ค่อนข้างใกล้เคียงต้นฉบับ ปรับแสงเล็กน้อย


ส่วนภาพนี้ปรับค่า Exposure ลดลง ปรับให้มีรายละเอียด ส่วนที่สว่าง ไม่ให้สว่างจนเกินไป


หลังจากปรับแต่งตามที่บอกไปด้านบนแล้ว ก็จะได้ภาพที่คล้ายต้นฉบับ แต่รายละเอียดส่วนสว่าง และส่วนมืด จะทำได้ดีกว่า และดีกว่าการไปเพิ่มค่า Recovery เพียงอย่างเดียว




ขอให้มีความสุขกับการถ่ายภาพนะครับ หากเขียนไม่ดีอ่านแล้วไม่เข้าใจ คอมเม้นท์สอบถามได้นะครับ  GoodLight. ^_^

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

Ayutthaya - Amazing

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

take a break with this

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

my macro on 2/4/2012

Today i take this picture.

spider

I think it interesting. 
This picture take in manual mode and flash ETTL under -1 2/3 STOP.

Have funny, GoodLight.

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

ภาพถ่ายเห็ด


เทคนิคการถ่ายภาพเห็ดแชมเปญ




เห็ดถือว่ามีความสำคัญต่อระบบนิเวศไม่น้อย เพราะเป็นตัวการย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ให้เป็นปุ๋ยคืนสู่ดิน นอกจากนี้เห็ดยังเป็นความบันเทิงเล็กๆของคนเดินป่าอีกด้วย เพราะใครที่เข้าไปเที่ยวป่าโดยเฉพาะในหน้าฝน หากใช้สายตาสังเกตสอดส่องอาจมีโอกาสพบเห็นดอกเห็ดป่าขึ้นอวดโฉม อยู่ตามพื้นดิน ท่อนไม้ ขอนไม้ และที่ชื้นแฉะ
             
เห็ดป่ามีทั้งที่ ส่งกลิ่นหอม ส่งกลิ่นเหม็น และไม่ส่งกลิ่น ขณะที่รูปร่างของเห็ดป่านั้นก็มีหลากหลาย บางชนิดดูเหมือนเห็ดทั่วไป บางชนิดมีสีสันสวยงามแปลกตา บางชนิดดูไม่เหมือนเห็ด บางชนิดสีขาวจืดชืด บางชนิดสีคล้ำเขรอะไม่น่ามอง
              
เห็ดป่าหลายชนิด สำหรับผมถือเป็นงานศิลปะประดับป่าชั้นยอด อย่างจำพวก เห็ดขอนที่ขึ้นเรียงรายไล่ดอกจากเล็กไปหาใหญ่ เห็ดถ้วย-เห็ดแชมเปญ ที่แม้จะเล็กกระจิดริดแต่ให้สีส้มสดของมันช่างสะดุดตานัก เห็ดร่างแหที่สยายร่างเหมือนแหประดับพื้นดิน หรือจำพวกเห็ดที่ดูไม่เหมือนเห็ด แต่ดูเป็นรูปร่างอื่น อย่าง ตะกร้อ ปะการัง ไอศกรีม ดอกไม้ แท่งเทียน เป็นต้น
              
อย่างไรก็ตามบรรดาเห็ดป่าที่ให้สีสันสวยงามเหล่านั้น ส่วนใหญ่มักเป็นเห็ดมีพิษ ประเภทสวยแต่รูปจูบไม่ได้ เพราะถ้าใครขืนจูบจะโดนพิษของเห็ดทำอันตรายเข้าได้ หรือไม่ควรแม้แต่ที่จะไปจับ สัมผัส แตะต้องมันด้วยประการทั้งปวง ควรปล่อยให้มันอยู่ของมันไปตามธรรมชาติเป็นดีที่สุด
              
แต่กระนั้นก็ใช่ว่าเห็ดสีขาวจะกินได้เสมอไป เพราะเห็ดสีขาวบางชนิดมีพิษกินแล้วอาจตายได้ ในขณะที่เห็ดมีสีบางชนิดก็กินได้แถมอร่อยอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นวิธีการดูเห็ดว่ามีพิษหรือไม่จึงต้องรอบคอบระมัดระวังเป็นพิเศษ
              
เรียกได้ว่าสิ่งเล็กที่เรียกว่า“เห็ด”นี่คล้ายกับคนไม่น้อยเลย คือเดาได้ยากเต็มที บางคนดูดีสวยงามแต่แฝงไว้ด้วยความร้ายเหลือ ขณะที่บางคนดูเรียบง่ายใสซื่อแต่ก็แฝงไว้ด้วยความร้ายกาจเช่นกัน



การถ่ายภาพเห็ดแชมเปญ 


เห็ดชนิดนี้จะพบตามป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์ มีความชื้นสูง ต้องกดดูดีๆ มีขนาดเล็ก เกาะตามขอนไม้







ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพนะครับ Goodlight ^_^

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

การถ่ายภาพเส้นแสงดาว Startrail photography

ปกติผมก็ทำงานเวลากลางวัน เลิกงานมาผมจึงมักจะมองหาสถานที่ที่จะถ่ายภาพกลางคืน แล้วก็พบว่าภาพกลางคืนก็สวยงามไปอีกแบบไม่แพ้ภาพตอนกลางวันเลย  ผมมักจะมองไปบนท้องฟ้าตอนดึก เพื่อดูว่าท้องฟ้าเป็นอย่างไร ฝนจะตกหรือไม่ มีดาวหรือป่าว และเรื่องวันนี้ก็จะพูดเรื่องการถ่ายภาพเส้นแสงดาวหรือ (Startrail)

ช่วงเวลา
ช่วงที่เหมาะสมคือหน้าหนาวครับ ประมาณเดือนพฤศจิกายน จนถึง กุมภาพันธ์ ท้องฟ้าจะใสเมฆน้อย ส่วนหน้าร้อนช่วงก่อนสงกรานต์ก็พอถ่ายได้ครับ แต่จะมีเมฆผ่านมาบ้างทำให้ไม่สะดวกในการถ่ายภาพแสงดาวนัก ส่วนหน้าฝนแทบจะไม่มีโอกาสเลย เพราะมีเมฆตลอดเวลา ฟ้าหลัว


วางแผน
คืนที่เหมาะกับการถ่ายภาพเส้นแสงดาวคือเดือนข้างแรม ประมาณ แรม10ค่ำ -15ค่ำ และขึ้น 1ค่ำ - 5ค่ำ ท้องฟ้าจะมืดเห็นดาวชัดเจน ส่วนข้างขึ้น 15ค่ำ ไม่เหมาะจะเห็นดาวน้อยแต่หากถ่ายก็คงเป็นเส้นแสงจันทร์แทนเส้นแสงดาว

อุปกรณ์
-กล้อง ต้องเป็นกล้องที่สามารถตั้งเวลาถ่ายภาพได้ และเปิดหน้ากล้องนานๆได้ นานกว่า30วินาที
-เลนส์ ควรเป็นเลนส์ที่ปรับโฟกัสเองได้ เนื่องจากความมืดทำให้กล้องหาโฟกัสไม่ได้
-ไฟฉาย ควรพกติดไว้ ใช้ส่องหาอุปกรณ์ มองพื้นต่างๆว่าปลอดภัยมีสัตว์ต่างๆหรือไม่ ดูการตั้งค่ากล้อง และใช้ส่องที่วัตถุเพื่อช่วยหาโฟกัส
-แบตเตอรี่ ควรชาร์ตมาให้ไฟเต็ม หรือแน่ใจว่าสามารถถ่ายได้เวลานานพอ
-ขาตั้งกล้อง สำคัญมาก ควรยึดล็อคให้แน่นหนา ขาตั้งกล้องราคาถูกจะมีตัวยึดหมุนหลายตัว ตรวจสอบว่ามั่นคงดี ส่วนขาตั้งกล้องราคาสูงมักจะมีตัวปรับยึดไม่กี่จุดแต่สามารถปรับได้หลายระดับ เก็บสายคล้องกล้อง สายลั่นชัตเตอร์ และสายสะพายของขาตั้งให้เรียบร้อย เนื่องจากลมอาจจะทำให้กล้องสั่นไหวได้
-ถุงพลาสติก หรือผ้า กันน้ำค้างในกรณีที่น้ำค้างมาก อากาศหนาวเย็น
-เข็มทิศ และแผนที่ดูดาวช่วยในการหาตำแหน่งดาว เพราะการหันกล้องคนละทิศจะได้ภาพไม่เหมือนกัน


การถ่ายภาพเส้นแสงดาว หากเป็นแต่ก่อนใช้กล้องฟิลม์ก็คงต้องเปิดนานๆยาวๆ แต่ก็มีข้อเสียที่แสงจากเมือง แสงอื่นๆ ทำให้ภาพ over ได้ สมัยนี้ใช้กล้องดิจิตอลการเปิดหน้ากล้องนานๆหลายชม.ก็ไม่เหมาะเพราะจะเกิด noise และ hot spot ในภาพได้ แต่ก็มีซอฟต์แวร์ช่วยทำให้ไม่ต้องเปิดรับแสงทีเดียวนานๆ แต่เป็นเปิดช่วงสั้นๆ แล้วก็ปิดพักแล้วก็ถ่ายต่อ และรวมภาพทั้งหมดด้วยซอฟต์แวร์
ที่ผมรู้จักและใช้งานได้ง่าย ก็มี 
startrails ตัวนี้ใช้ง่ายแค่โหลดภาพทั้งหมดมา และ รอผล

วิธีใช้งานโปรแกรมStartrails

ภาพตัวอย่างในวันนี้ ผมใช้ทั้งหมด 46 ภาพ เปิดรับแสงภาพละ 31 วินาที และเว้น 30 วินาที เวลาทั้งหมดจึงประมาณ 46 นาที



ภาพแรกผมถ่ายแทงค์น้ำนี้ เป็นคืนที่ท้องฟ้าค่อนข้างสดใจ เห็นดาวมาก ผมถ่ายที่แทงค์น้ำ และใช้ไฟฉายส่องที่แทงค์น้ำให้มีแสงแดง ปนสีอื่นเล็กน้อย

startrail 1


ภาพที่สอง ผมถ่ายต่อเนื่องกัน โดยใช้ไฟฉาย ส่องไปที่แทงค์น้ำให้มีสีเขียวบ้าง


startrail 2
จากนั้นผมก็เปิดรับแสง ถ่ายไปเรื่อยๆ ทั้งหมด 46 ภาพ 
จนสุดท้ายได้ภาพนี้ 



ภาพนี้หันไปทางทิศใต้ จึงได้ภาพโค้งๆ เช่นนี้นะครับ ถ้าหันไปทางเหนือ เส้นแสงดาวที่เห็นจะ จะเป็นวงกลม วนรอบดาวเหนือ เนื่องจากแกนโลกหมุนตรงกับดาวเหนือพอดี จึงมองเหมือนดาวเหนือไม่ได้ขยับเลย ความจริงขยับเล็กน้อย แต่ดาวอื่นหมุนรอบดาวเหนือ

แต่หากถ่ายหันไปทางทิศตะวันออก และตะวันตก ก็จะต่างกัน แต่จะคล้ายกันคือเป็น เส้นแนวตั้ง เฉียงเล็กน้อย ตามตำแหน่ง ที่เราถ่าย และฤดูกาลด้วยครับ


ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพนะครับ แสดงความคิดเห็นได้นะครับ.



วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

การใช้ฟิลเตอร์เพื่อเพิ่มเวลาเปิดชัดเตอร์


คุณสามารถเพิ่มเวลาในเปิดสปีดชัตเตอร์ให้นานขึ้น(long exposure)ได้ ด้วยการใช้เทคนิค ควบคุมรูรับแสงให้แคบ(F.Stop) และการใช้ฟิลเตอร์ที่ลดแสงลง เรียกว่า ND filter(neutral Density filter)

การปรับรูรับแสงให้แคบ ก็จะทำให้ได้ความชัดลึกเพิ่มขึ้น แล้วถ้าปรับถึงที่สุดแล้ว ยังได้สปีดชัตเตอร์ที่สูงอยู่ ก็ทำอะไรอีกไม่ได้

ส่วนการใช้ฟิลเตอร์ชนิด ND นี้ จะทำให้ภาพมืดลง ทำให้ต้องเพิ่มสปีดชัตเตอร์ขึ้น แต่ไม่มีผลต่อความชัดลึก ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบเต็มแผ่นระดับความเข้มเท่ากันหมด, แบบแบ่งครึ่งระดับความเข้มตัดกันเลย, แบบแบ่งครึ่งแต่ระดับความเข้มค่อยๆเพิ่มไปแบบนุ่มนวล, และแบบกลับด้านก็มี คือกลางฟิลเตอร์ไล่จากเข้มมากไปหาเข้มน้อย และมีให้เลือก

การใช้ฟิลเตอร์แบบนี้ ก็เพื่อหวังผลให้ได้การเปิดสปีดชัตเตอร์ที่นานขึ้น ส่งผลต่อภาพถ่ายให้เกิดความเบลอ(blur) มากขึ้น หรือเกิดการเคลื่อนไหวของภาพมากขึ้น

น้ำตกกระทิง 

การใช้เทคนิคการถ่ายภาพแบบ long exposure ใช้ได้ผลดีกับภาพประเภท น้ำตก, น้ำทะเล, เมฆเคลื่อนไหว

จากภาพน้ำตกตัวอย่างนี้ มีแสงแดดมาก ทำให้ได้สปีดชัตเตอร์ค่อนข้างเร็ว ทำให้สายน้ำไม่เป็นสายอ่อนนุ่มสวยงาม

ภาพนี้จึงใช้ฟิลเตอร์ ND แบบเต็มแผ่น ใส่ปิดหน้าเลนส์ แล้วจึงเปิดความเร็วชัตเตอร์นานๆ

ทำให้ได้ภาพถ่ายสายน้ำที่อ่อนนุ่ม สวยงามกว่าไม่ได้ใช้ ส่วนเทคนิคการถ่ายภาพ วัดแสง ฯลฯ ก็ใช้เหมือนปกตินะครับ แค่ใส่ ฟิลเตอร์เข้าไปที่หน้าเลนส์ และดูค่าสปีดชัตเตอร์ที่กล้องวัดได้ ถ้าเปิด 30 วินาที กล้องหลายรุ่นมักจะไม่แสดงผลที่เกิน 30 วินาที

จำเป็นต้องใช้
เทคนิคการคำนวณการเปิดค่าสปีดชัตเตอร์ และเปิดตามที่ได้คำนวณไว้

ส่วนภาพถ่ายที่ต้องเปิดรับแสงนานๆอย่างนี้ จำเป็นต้องมีขาตั้งกล้อง หรือ ถุงทราย สำหรับวางกล้องให้มั่นคง ไม่สั่นไหว

น้ำตกเจ็ดคตเหนือ

ภาพถ่ายนี้ก็เทคนิคเดียวกันครับ แต่ภาพนี้รอให้แสงแดด เข้าเงาก่อน ทำให้แสงอ่อนเท่าๆกัน










ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพนะครับ  เมื่อมาเยี่ยมชมแล้วก็โปรดแสดงความคิดเห็น.. Good Light.

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

macro แมงมุมหนาม



ขณะที่ผมไปถ่ายภาพวันนึง ผมก็พบ แมงมุมสีสรรสวยตัวนี้เข้าครับ สีมันสวยจนน่ากลัว จากสารคดีเรื่องงูต่างๆ พบว่ายิ่งงูสีสวยมักจะยิ่งมีพิษร้ายแรง ตัวนี้จึงทำผมกลัวหน่อยๆ แต่ก็แอบย่องไปถ่ายภาพมันจนได้


แมงมุมหนาม 1
มันกางใยเป็นบริเวณกว้างมาก สูงตั้งแต่ประมาณเข่าผมจนถึงประมาณผมยืนชูแขนแล้วสูงเท่าศอก ส่วนความกว้างก็ลำตัวผมบวกกับกางแขนสุด 1 แขน

แมงมุมแต่ละชนิด มีวิธีล่าเหยื่อไม่เหมือนกัน แมงมุมมีอยู่มากมาย หลายชนิดมากบนโลก

และการถ่ายภาพ Macro แมงมุม ก็ถือว่าไม่ยากนัก หาได้ง่าย และมันมักจะอยู่นิ่งๆ เมื่อเจอแล้วมันก็ไม่ค่อยหนี เราสามารถตั้งขาตั้ง จัดตำแหน่งได้เป็นเวลานาน โดยมันไม่หนี นอกจากพวกแมงมุมกระโดด ซึ่งแมงมุมพันธ์นั้น ไม่กางใยในการล่าเหยื่อ ใช้วิธีกระโดดเข้าใส่เลย และกระโดดได้ไว และไกลด้วย เมื่อเราเข้าใกล้แบบไม่ระวัง มันก็กระโดดหนีไปแล้วครับ หามันอีกครั้งก็ยากซะด้วย

ส่วนตัวนี้จะว่าง่าย ก็ไม่ง่ายนะครับ ด้วยใยที่มันชักกว้างมาก ลมก็แรง ตอนที่ถ่าย ลมทำให้ใยมันสะบัด ตัวมันไหวมาก จับโฟกัสยากมาก

แมงมุมตัวนี้มาค้นเจอทีหลังว่าเรียกว่าแมงมุมหนาม แมงมุมหนามไม่มีอันตรายต่อคน (แต่สีสรรมันทำให้ผมหยองๆอยู่ดี)
แมงมุมหนามมีประมาณ 70 สายพันธ์พบได้ทั่วโลก

คาดว่าสีของมันคงล่อให้แมลงคิดว่าเป็นดอกไม้มั้งครับ ขณะที่ผมก้มพยายามถ่ายมันอยู่ ก็มีผีเสื้อบินมาติดใย และมันก็ตรงดิ่งไปจัดการทันที
ผีเสื้อเพิ่งติดใย

มันดิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว และทำการม้วนผีเสื้อไว้กับใยของมัน
เริ่มม้วน
แล้วก็ม้วนจนเป็นก้อนแน่น
แมงมุมหนามจัดการเหยื่อ
ยังคงม้วนต่อไป
แมงมุมหนามจัดการเหยื่อ 2
ที่ถ่ายนี่เกิดขึ้นเร็วมากนะครับ เพื่อนผมที่ถ่ายด้วยกัน ถ่ายไม่ได้เลย เพราะลมก็พัด แมงมุมก็ขยับมาจัดการเหยื่อ
แมงมุมหนามจัดการเหยื่อ 3
จนเป็นก้อนประมาณนี้

แมงมุมหนามจัดการเหยื่อ 4
เมื่อเป็นก้อน มันก็ทิ้งไว้ก่อนยังไม่กินตอนนี้ครับ แต่ไม่ทันไร แมลงอีกตัวก็มาติดใยมันอีก มันก็ตรงดิ่งไปจัดการอีกครั้ง แต่เสียใจด้วย ลมมาแรง ถ่ายไม่ได้เลยครับ ^_^

มันจัดการม้วนตัวที่สองแล้วก็เอามารวมเข้ากับตัวที่ 1 เลยครับ เป็นก้อนเดียวกัน 

ธรรมชาติที่ต้องล่าเหยื่อดูโหดร้าย แต่นี่คือธรรมชาติ มนุษย์เราก็โหดร้ายเช่นกัน ทั้งฆ่าหมู, ฆ่าไก่, จับแมลงมาทอด, ฆ่าทุกอย่างเพื่อมากินหรือบางครั้งก็แค่สนุก จนบางชนิดสูญพันธ์ หรือใกล้สูญพันธ์เต็มที 


วันนี้ก็ลาไปด้วยภาพ Macro แมงมุมหนาม ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพ Good Light. 





วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

ภาพถ่ายหน้าเบี้ยว 2

เฉลยภาพถ่ายหน้าเบี้ยวๆ

จาก
ภาพถ่ายหน้าเบี้ยวซึ่งได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับท่านที่ไม่รู้ ก็คงงง ว่าถ่ายยังไง

วันนี้จะมาเฉลยครับ
วิธีคือถ่ายด้วยความเร็วซัตเตอร์สูงหน่อยนึง 1/125 ขึ้นไป โดยประมาณ ในภาพนี้มืดนิดหน่อย จึงใช้แฟลชจากตัวกล้องช่วยด้วย

และทำการ สะบัดหน้าตัวเอง อย่างเร็วๆจังหวะนั้นก็กดชัตเตอร์ถ่ายภาพทันทีครับ ก็จะได้หน้าที่กำลังเบี้ยวๆ แปลกๆ อย่างนี้
ภาพถ่ายหน้าเบี้ยว  

จะเห็นว่าช่วงปาก กับฟัน ห่างกันมาก ซึ่งไม่สามารถทำได้ในสถานการณ์ปกติ หลายคนอาจจะคิดว่าใช้ photoshop ซึ่งไม่ใช่นะครับ













ภาพถ่ายประเภทนี้ก็จะได้ภาพหน้าบูดเบี้ยว บางครั้งก็คล้ายถูกชกบางครั้งก็ดูแปลกๆ ขึ้นอยู่กับจังหวะ

คำเตือน การถ่ายภาพแบบนี้มากๆอาจจะปวดหัวนิดหน่อยได้ จากการสะบัดศีรษะเยอะๆ ^_^


ขอให้มีความสุขกับการถ่ายภาพนะครับ  GoodLight.


วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ภาพถ่ายหน้าเบี้ยว

วันนี้ขอโพสภาพถ่ายแปลกๆ 1 ภาพครับ


แล้วเดี๋ยวมาเฉลยว่าถ่ายอย่างไร   ลองเดากันดูครับ


เทคนิคการถ่ายภาพแปลกๆ


^_^

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

การวัดแสงธรรมดา - กับการใช้แฟลช

สวัสดีครับ วันนี้จะขอพูดถึงความแตกต่างของ การวัดแสงแบบธรรมดา กับ การใช้แฟลชครับ

บางท่านอาจจะเคยอ่านการวัดแสงมาบ้างแล้ว มีพูดถึงกันเยอะแยะ เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง : ช่างมัน

แต่เมื่อท่านจะใช้แสงแฟลช ก็จะงง ว่าอะไรกัน ไม่เห็นเข้าใจ ผมพบปัญหานี้เยอะครับ และเป็นเรื่องที่รายละเอียดเยอะ  แต่จะขออธิบายง่ายๆให้เข้าใจกันนะครับ
การวัดแสงเมื่อถ่าย เวลาไม่ใช้แฟลช ก็คือ ดูค่าแสงณเวลานั้น บริเวณที่เราต้องการถ่ายภาพก็จะได้ ค่ามาสองค่า คือรูรับแสง(aperture value) กับ ความเร็วชัตเตอร์(speed shutter) ในกรณีที่ท่านเลือกโหมด M (Manual) เราก็เป็นคนกำหนดสองค่านั้นแล้ว ฉะนั้นกล้องจะบอกแค่ว่า มันพอดี หรือมืด หรือสว่างไป(under or over exposure), เมื่อท่านเลือกโหมต AV(canon) หรือ A(nikon) เราก็ควบคุม รูรับแสงอย่างเดียว  กล้องจะวัดแล้วปรับ ความเร็วชัตเตอร์ให้อัตโนมัติ ซึ่งเราสามารถปรับชดเชยแสงได้,
เมื่อท่านเลือกโหมด TV(canon) หรือ S(nikon) ท่านก็จะควบคุมความเร็วชัตเตอร์ แล้วกล้องจะปรับรูรับแสงให้อัตโนมัติ ซึ่งเราสามารถปรับชดเชยแสงได้  แค่นี้เองครับ หลักง่ายๆ

ต่อมาคือการใช้แฟลช

การใช้แฟลชพูดได้เลยว่าไม่เกี่ยวกับการวัดแสงโดยตรงนะครับ วัดแสงมันก็คือค่าแสงที่เข้ากล้องคือแสงธรรมชาติ หรือแสงต่อเนื่องในขณะนั้นนะครับ แต่แสงแฟลชต่างออกไปคนละเรื่องเลยครับ
กล่าวคือ แสงแฟลชจะมีสองระบบหลักๆ
1. TTL มีหลายแบบ ATTL, ETTL ฯลฯ มันคือการที่แสงแฟลชจะยิงไปที่วัตถุ แล้วเมื่อแสงแฟลชพอดีมันจะตัดไฟแฟลชทันที ซึ่งชื่อต่างๆ คือการที่เขาคิดวิธีให้การยิงแสงแฟลชแม่นที่สุด แต่ก็เป็นแสงแฟลชผ่านเข้ามาในกล้อง และตัดไฟแฟลชทิ้งเมื่อแสงพอดี เช่นกัน และเมื่อมีหลายยี่ห้อของกล้องและแฟลช จึงมีหลายชื่อ ต่างกันไป

2.แฟลชแบบปรับกำลังแฟลชเอง คือเอาเลือกปรับเองว่าจะแรง-อ่อนแค่ไหน ตัวแฟลชก็จะยิงเท่าที่เราตั้งตลอดเวลา ซึ่งต้องผ่านการคำนวณ ระยะ, ISO, ฯลฯ หรือลองดูแล้วก็เช็ค histogram เอาก็ได้ครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็นิยมแบบนี้มากขึ้น คือมั่วๆไปก่อน แล้วดูจาก LCD ในกล้อง เมื่อแสงพอดีแล้วก็ตั้งค่านี้ สะดวกรวดเร็วดี แต่ต้องเสียเวลากับการปรับแฟลชอยู่พักนึง

ฉะนั้นเมื่อเราดันเลือกโหมด AVหรือ S (หรืออื่นๆตามแต่ละยี่ห้อ) ถ้าถ่ายตอนกลางวัน มันก็สว่างดี ได้ความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วพอภาพจะคมชัดได้  แต่ถ้าเราถ่ายในที่มืดๆล่ะครับ  - แน่นอนว่า มันก็จะได้ความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำ เพราะมันวัดจากแสงธรรมชาติ (แสงแฟลชจะยิงมาแค่แว๊บเดียว และไม่ได้ยิงตอนเราวัดแสง)เมื่อถ่ายภาพ แสงที่ได้อาจจะพอดี สว่างเหมือนกลางวัน แสงแฟลชก็ยิงไปพอดี แต่ภาพไม่ชัด เพราะความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำไงล่ะครับ

เพื่อเสริมความเข้าใจมากขึ้น ถ้าเราถ่ายภาพคนที่อยู่ในที่ร่ม เช่นใต้ตึก แต่ข้างหลังเป็นแดดจ้านอกอาคาร อย่างนี้ หมายความว่าแสงที่ฉากหลัง จะสว่างมาก แต่แสงคนที่อยู่ใต้ตึกจะมืดกว่ามาก ถ้าเราถ่ายโดยวัดแสงที่ฉากหลัง ฉากหลังก็จะสวยงามพอดี แต่หน้าคนจะมืด
แต่ถ้าเราถ่ายโดยวัดแสงที่หน้าคน หน้าคนจะสว่างถูกต้อง แต่ฉากหลังก็จะสว่างขาวโพลน แต่ถ้าท่านต้องการให้แสงพอดี ทั้งข้างหน้า และข้างหลัง ทำอย่างไรล่ะครับ :)

ก็ต้องวัดแสงที่ฉากหลัง แล้วจำค่านั้น หรือล็อคค่าไว้(อ่านวิธีในคู่มือกล้องของท่าน) จากนั้นใช้แฟลชยิงที่หน้าคนให้ได้แฟลชพอดี อย่างนี้ก็จะได้แสงที่พอดีทั้งฉากหน้า และฉากหลัง

แต่ถ้าต้องการ ฉากหลังมืดกว่าตัวแบบ ก็ต้องวัดที่ฉากหลังอีกเช่นกัน แล้วชดเชยแสงให้ under (-1,-2,-3,ฯ) แต่แสงแฟลชยิงพอดี ฉากหลังก็จะมืดกว่าตัวคนแล้วครับ

แต่ถ้าต้องการฉากหลังสว่างกว่า ก็ดูหน้า ฉากหลังกับตัวคนอันไหนสว่างกว่ากัน ถ้าฉากหลังสว่างกว่าอยู่แล้ว ก็แทบไม่ต้องทำไร ใช้วัดที่หน้าคนเลยก็ได้ หรือวัดแสงที่ฉากหลังแล้วปรับ over(+1,+2,+3,ฯ) ส่วนแสงแฟลชปรับให้พอดี เท่านั้นเองครับ


ปัญหาต่อมาคือ ทำไมแฟลชมีปรับชดเชยแสงด้วย จำเรื่อง TTL ได้ไหมครับ ที่แสงจะกระทบแล้วเข้ามาที่กล้องแล้วก็ตัดแสงทิ้ง   ฉะนั้น เมื่อแฟลชมันไปยิงใส่เสื้อสีดำ การสะท้อนแสงก็ย่อมน้อยผิดปกติอยู่แล้ว กว่าแสงแฟลชจะตัด ก็ทำให้ภาพออกมา แสงแฟลชมัน ก็จะ over ไงครับ ฉะนั้น จึงต้องปรับไปทาง under (-1,-2,-3,ฯ)

ภาพนี้ไม่ได้เปิดแฟลช
ภาพนี้เปิดแฟลช

จากภาพตัวอย่างทั้งสองภาพ จะเห็นว่าภาพฉากหลัง หรือท้องฟ้าจะใกล้เคียงกันมาก เพราะใช้ค่าแสงที่วัดเท่าๆกัน แต่ภาพล่างเปิดแฟลชยิงไปที่เรือด้วย ทำให้เห็นเรือสว่างกว่า และฉากท้องฟ้าด้านหลัง ก็ยังคงสว่างเช่นเดียวกันครับ




ตอนแรกคิดว่าจะพิมพ์แค่สั้นๆ เอาเข้าจริงๆ ก็ต้องอธิบายยาว หวังว่าจะเข้าใจกันนะครับ

แดดร้อนรักษาสุขภาพ มีความสุขกับการถ่ายภาพ และคอมเม้นท์กันบ้างนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

ภาพถ่ายมือทะลุจอ

วันนี้ยุ่งๆ ไม่ได้อัพบล็อค(เว็บ) เลยครับ อีกทั้งความยุ่งทำให้คิดไม่ออกว่า จะเขียนอะไรดี เรื่องไหนก่อนดีอากาศด้วย แทบจะไม่อยากทำอะไร(พิมพ์บทความนี้ 3 รอบ พอพิมพ์เร็วๆแล้วเปลี่ยนภาษา มันเน่าไปเลย ต้องมาพิมพ์ใหม่อีก)

เมื่อมาเช็คดู ก็พบว่ามีคนเข้ามาแล้วคงเห็นว่าไม่มีอะไรอัพเดตจึงปิดออกไปเลย จึงสงสัยว่าคงเริ่มมีคนสนใจเว็บหรือบล็อคนี้บ้างแล้ว จึงต้องหาเรื่องเขียน

วันนี้ขอเรื่องนี้แล้วกัน เริ่มด้วย ภาพถ่ายนี้ครับ อิอิ

ภาพถ่าย 1


เป็นรูปภาพแปลกๆไหมครับ เหมือนมือมันทะลุเข้าไปในจอ น่าจะชอบใจกันนะครับ เพราะเอาไปเล่นได้ ยังไม่ค่อยเห็นในสังคมออนไลน์ด้วย

เล่าเรื่องที่มาหน่อยนึง ภาพนี้เพื่อนผมฝากผมซื้อหวย แต่ผมไม่ได้เล่นนะครับ เล่นทีไรไม่เคยถูก เสียเงินทุกที อิอิ เมื่อเพื่อนฝากซื้อมาผมจึงถ่ายรูปนี้ไว้เล่นๆ กะเป็นหลักฐานด้วยว่าเล่นเลขนี้นะ ไม่ได้ผิดนะ

วิธีการถ่าย ไม่ยากเลยครับแต่หลายขั้นตอนหน่อยนึง
ขั้นแรกให้ปิดไอคอนที่เดสท็อป(icon on desktop)ออกให้หมด และย่อหน้าโปรแกรมลงมาให้หมด (ความจริงไม่ทำก็ได้ครับ แต่หน้าจอโล่งๆ น่าจะน่าสนใจกว่า)

ขั้นต่อมา เอามือมาถ่ายรูปอย่างนี้
ภาพถ่าย 2

ถ่ายยังงี้เปล่าๆเลยครับ (พิมพ์หน้านี้ครั้งที่ 4 แล้วเพราะพิมพ์เร็วเปลี่ยนภาษาเร็วๆ เน่าทุกทีเฮ้อ)

ขั้นต่อมาเมื่อได้ภาพอย่างนี้แล้ว โหลดลงคอมพิวเตอร์ครับ แล้วก็เปิดภาพมา แล้วต่อด้วยการเปิดโปรแกรมที่ต้องการครับ ให้อยู่ในฝ่ามือพอดี เสมือนเราจัดสิ่งนั้นอยู่ครับ

แล้วสามารถทำได้ สองวิธีคือ หยิบกล้องมาถ่ายใหม่ และ จัดภาพจากหน้าจอ

ถ้าจับภาพจากหน้าจอจะชัดกว่า สีสรรก็ดีกว่า เพราะเมื่อแสดงผลจากจอมันดรอปลงไปครับ ใช้ได้ทั้งสองวิธีนะครับ

จากนั้นก็จะได้ภาพสวยๆอย่าง ภาพถ่าย 1* แล้วครับ
เรียกว่าสวยไหมนะ เรียกว่าแปลกน่ะแน่นอนเลยครับ

ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพ และโชคดีได้แสงดีๆนะครับ

เมื่อท่านเยี่ยมชมแล้วโปรดคอมเม้นท์ ^_^

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

ภาพกลางคืนในรถ

สวัสดีครับ วันนี้จะโชว์รูปภาพที่ถ่ายกลางคืนในรถยนต์นะครับ   ก็จะได้ภาพที่แปลกตา เช่นนี้


ภาพถ่ายกลางคืนในรถ 1

แปลกๆตาดีไหมครับ หุหุ ลองดูอีกภาพ


ภาพถ่ายลักษณะนี้ ตัวรถจะชัดดี แต่นอกรถจะเป็นเส้นๆ แปลกตา เทคนิคการถ่ายภาพก็ง่ายๆครับ วางขาตั้งกล้องในรถ ยึดให้มั่นคงตั้ง ISO ต่ำไว้ สองภาพนี้ถ่ายด้วย ISO 100 วัดแสง แบบเฉลี่ยทั้งภาพ เสียบสายลั่นชัตเตอร์ แบบตั้งโปรแกรมได้ ก็ตั้งเวลาหน่วงไว้ แล้วก็เริ่มขับรถเลยครับ ภาพนี้ใช้ speed shutter ประมาณ 20-30 วินาที ก็จะได้ภาพสีสรรค์ แปลกตาอย่างนี้

ข้อควรระวัง ตั้งกล้องให้มั่นคงนะครับ เพราะรถต้องเคลื่อนไปตลอด อาจจะหล่นร่วงเกิดความเสียหายได้ และถ้าไม่มีสายลั่นชัตเตอร์ ตั้งโปรแกรมต่างๆให้เรียบร้อยก่อนออกรถ ปรับโฟกัสให้เรียบร้อยก่อน แล้วจังหวะกดให้มั่นใจว่าปลอดภัยนะครับ ไม่เช่นนั้นจังหวะ เอื้อมไปกด อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ 

หวังว่าจะสนุกกับการถ่ายภาพ สวัสดี

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

การถ่ายภาพกลางคืน light paint

การถ่ายภาพกลางคืน มีด้วยกันหลายเทคนิค ที่จะสร้างสรรค์ภาพให้ดูน่าสนใจ

ภาพถ่ายกลางคืน
ภาพนี้ถ่ายเวลากลางคืน แทบจะมืดสนิท เป็นเครื่องลับใบมีด โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Light painting

โดยการใช้ไฟฉาย ฉายส่องไปที่วัตถุที่เราต้องการ เพื่อเพิ่ม รายละเอียดส่วนที่มืดให้สว่างขึ้นมาในภาพนะครับ







อุปกรณ์ที่ใช้


  • ขาตั้งกล้อง หรือถุงทราย อะไรก็ได้ วางให้มั่นคง
  • คนช่วยกด หรือสายลั่นชัตเตอร์ สำหรับ กดชัตเตอร์นานๆ (หรือชัตเตอร์B) 
  • ไฟฉาย
  • กระดาษแก้ว หรือกระดาษสี สำหรับเพิ่มสีสรรค์ให้ภาพโดยไม่ต้องใช้ photoshop
ภาพนี้มืดมาก แทบ
วัดแสงไม่ได้จริงๆ  วัดได้ก็เวลา นานมาก ก็ใช้กะเวลาว่าเราจะวาดแสงด้วยไฟฉาย ครบทั้งภาพที่ต้องการ ในเวลาประมาณเท่าไร
ลองฉายไฟฉายเพิ่มหาโฟกัส ปรับเป็นแบบ แมนน่วล (manual focus) เพราะระบบออโต้โฟกัสจะหาโฟกัสไม่เจอ เมื่อได้โฟกัส ลองถ่าย แบบ iso สูงๆ ซัก 2-3 ภาพ เพื่อดูภาพเบื้องต้น ดู composition ของภาพ

จากนั้นทำการถ่ายภาพ แล้วก็เริ่มใช้ไฟฉาย ฉายๆไปเรื่อยๆ  ภาพนี้ผมใช้กระดาษแก้วปิดที่หน้าไฟฉายด้วย เพื่อให้มีสีๆ อย่างที่เห็นในภาพนี้ครับ
ส่วนเวลาว่าจะฉายไฟฉายนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความแรงของไฟฉาย ระยะห่าง ซึ่งคำนวณได้ยาก ใช้ประสบการณ์เลยดีกว่าครับ

ลองถ่ายดู และหวังว่าจะสนุกกับมัน


แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดี

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

ภาพแสงไฟกลางคืน ตัวอย่างภาพจากวัดอรุณฯ




ภาพนี้ถ่ายเวลากลางคืน แสงจะน้อยมาก หยิบขึ้นมา อาจจะรู้สึกว่า วัดแสงไม่ได้ ผมใช้วิธีปรับ ISO ให้สูงๆไว้ เมื่อตั้ง ISO สูงๆ ก็จะสามารถวัดแสงได้ แต่ภาพนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ มืด แสงน้อยมาก(มีจะถ่ายให้เหมือนตอนกลางวันก็ทำได้) จึงต้องเลือกโหมดวัดแสงแบบเฉพาะจุด(ศึกษาจากคู่มือกล้องของท่าน)
แล้ววัดไปที่พระปรางค์เพราะส่วนนี้สำคัญที่สุด

เมื่อได้ค่าแสงออกมาแล้ว จำค่านั้นไว้ แล้วปรับ ISO ลง เพื่อลด noise ให้น้อยที่สุด ซึ่งจะกลายเป็นเหมือนวัดแสงไม่ได้เหมือนเดิม เพราะ shutter speed จะเกิน 30 วินาที

ตรงนี้คือเทคนิคนึง ที่ให้จำค่าเดิมไว้ แล้วปรับจาก ISO สูงๆ ลงมา ISO ต่ำๆ เหลือเป็นกี่ STOP  (ไม่เข้าใจ ก็ใช้วิธี นับปุ่มเวลาเราปรับก็ได้ครับ บางรุ่นปรับ2 ครั้งคือ 1 STOP บางรุ่นปรับ 3 ครั้ง) โดยดูจากขีดที่บอกการชดเชยแสงก็ได้ครับ เมื่อได้จำนวน STOP แล้วเช่น 4 STOP ที่ Speed shutter 20 วินาที เป็นต้น

เมื่อเป็น 4 STOP ให้ คูณ 16 หรือ นำค่าเดิม คูณ 2 = 1 STOP
ในที่นี้ 40 วินาที คือ 1 STOP ที่ต้องรับแสงเพิ่มขึ้นจากการปรับ ISO ให้ต่ำลง
40 x 2 = 80 วินาที เป็น 2 STOP
80 x 2 = 160 วินาที เป็น 3 STOP
160 x2 = 320 วินาที เป็น 4 STOP

หรือนำสูตร 2 ยกกำลัง stop ได้ค่าเท่าไร เอาไปคูณเวลาเดิมครับ เช่น
4 STOP = 2 ยกกำลัง 4 = 16 นำ 16 x 20 ได้เท่ากับ 320 วินาที
3 STOP = 2 ยกกำลัง 3 = 8 นำ 8 x 20 ได้เท่ากับ 160 วินาที

ความจริงมันมีสูตรคำนวณเวลามากมายครับ แต่ใช้วิธีนี้ก็ได้ ง่ายกว่า สำหรับแสงน้อยๆ ผิดไม่กี่วินาที ไม่ต่างกันเท่าไร แต่หากเป็นเวลากลางวัน เราจะถ่ายที่ เสี้ยวของวินาที เช่น 1/250 วินาที เป็นต้น อันนั้นจะต่างกันมาก แต่อันนี้ หากมัวตบยุง หรือเล่น facebook มากดปิดที่ 330 วินาที หรือค่าอื่นๆ ก็ยังไม่มีปัญหาครับ

ส่วนค่ารูรับแสง (F/8, F/11) ก็เหมือนกันครับ ตอนแสงน้อย ปรับกว้างๆก่อนก็ได้ ให้วัดแสงได้ก่อน แล้วค่อยปรับอีกครั้ง ตามที่ต้องการ แล้วก็ดูว่าปรับจากเดิมกี่ STOP

ความจริงภาพนี้ แสงท้องฟ้า กับตัวพระปรางค์ต่างกันหลาย STOP น่าจะถ่าย 2-3 ภาพ แล้วใช้โปรแกรมในการรวมภาพอีกที ก็จะสวยกว่านี้ครับ จะได้ทั้ง พระปรางค์ และท้องฟ้าที่สวยงาม ส่วนทางขวามือ คือเรือที่วิ่งผ่านมาเข้าเฟรมพอดีครับ


วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

ว่าด้วยเรื่องการวัดแสงสำหรับถ่ายภาพ




พื้นฐานการถ่ายภาพที่สำคัญ - การวัดแสง

ถึงบอกว่าสำคัญ แต่หลายท่านที่ถ่ายภาพ และคิดว่าตัวเองถ่ายเป็น ที่ผมพบหลายๆคน และยังรับงานถ่ายภาพ เพื่อหารายได้ ก็ยังวัดแสงไม่เป็น 0_0  แต่ที่ถ่ายได้ เพราะ กล้องถ่ายภาพ ยิ่งทันสมัย ยิ่งราคาแพง ก็ยิ่งมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้วัดแสงได้แม่นยำมากขึ้น  จนแทบไม่ต้องปรับอะไร

งั้นทำไมถึงบอกว่าสำคัญ เพราะบางสภาพแสง จะพบคนพวกนี้ ถ่ายอย่างไร ก็ไม่ได้ภาพที่ดี เพราะไม่เข้าใจเรื่องการวัดแสง เพื่อผมบางคนใช้อุปกรณ์ถ่ายภาพ ราคาประมาณ2แสนบาท แต่พอไปเที่ยวด้วยกัน เขาถ่ายไม่ได้ภาพเลย จนต้องมาถามผม นี่ก็เพราะ ไม่เข้าใจวิธีวัดแสง 

ถ้าแสงธรรมดา เช่น ไม่ย้อนแสง แสงอาทิตย์ อยู่ด้านหลัง วัตถุที่ถ่าย ไม่มีอะไรพิเศษ* ก็คงถ่ายได้ โดยไม่ต้องปรับตั้งค่าอะไร แต่นอกเหนือจากที่บอก ก็คงเห็นความแตกต่าง ของคนเข้าใจการวัดแสง และไม่เข้าใจ รวมถึงเวลาที่ต้องเสียไป กับภาพที่ถ่ายใน shot แรกๆ แล้วไม่ได้อย่างที่ต้องการ ต้องมาปรับๆๆอีก

การวัดแสง มี 2 แบบ 
1. วัดแสงตกกระทบ : คือแสง ตกที่อุปกรณ์ สำหรับวัดแสงโดยตรง
2. วัดแสงแบบสะท้อน : คือแสง ไปสะท้อนวัตถุ แล้วค่อยมาที่อุปกรณ์สำหรับวัดแสง

การวัดแสงตกกระทบ
น่าจะมีเฉพาะ เครื่องวัดแสงแบบมือถือเท่านั้น
การวัดแสงแบบสะท้อน
กล้องถ่ายภาพทั่วไป ใช้ระบบนี้ แต่มีเทคโนโลยี เพื่อความแม่นยำ ต่างกัน

สังเกตุอย่างไร : แสงอาทิตย์ หรือแฟลช ไม่ได้วิ่งเข้ากล้องตรงๆ แต่ สะท้อนต้นไม้, หน้าคน, สิ่งของ(ขอเรียกว่าวัตถุ)  แล้วค่อยเข้ามาในกล้อง

ความแตกต่างของระบบวัดแสงทั้งสองอย่าง คือ การวัดแบบสะท้อน แสงต้องโดนวัตถุก่อน แล้วค่อยสะท้อนแสงเข้ากล้อง แต่วัตถุแต่ละชนิด สะท้อนไม่เท่ากัน จึงเป็นปัญหาขึ้น
ส่วนการวัดแสงแบบตกกระทบ แสงจะตกใส่อุปกรณ์วัดโดยตรง ทำให้แม่นยำกว่า แต่ว่า เราไม่สามารถ เดินไปวัดแสงที่ ยอดภูเขา โดยที่จะถ่ายภาพที่ตีนเขาได้  การวัดแสงแบบนี้ มักจะใช้กับพวกแสงแฟลชเสียมากกว่า

การที่กล้องวัดแสงแบบสะท้อน จึงมองทุกอย่างสะท้อนเท่ากับ สีเทากลาง เช่นวัดแสงวัตถุสีขาว มีการสะท้อนมาก กล้องไม่รู้จัก ก็จะถ่ายมาเป็นสีเทา ถ่ายสีดำ ก็เป็นสีเทา นั่นเพราะกล้องจะมองการสะท้อนเป็น เทาหมด เมื่อถ่ายวัตถุ ที่ขาวอยู่ในภาพมากๆ หรือดำในภาพมากๆ จึงต้องชดเชยแสง ตาม  สีขาวก็ชดเชยไปทาง +, ส่วนสีดำ ชดเชยไปทาง -

แต่วัตถุส่วนใหญ่ไม่ได้มีแต่ขาวกับดำนี่  นี่คือภาพ เปรียบเทียบเมื่อสีต่างๆ เป็นขาว-ดำ

ภาพสี
ถูกทำให้เป็นขาว-ดำ













จะเห็นว่าสีแดง ใกล้เคียง เทากลางที่สุด ส่วนสีเหลือง สว่างมากกว่าเทากลางเยอะ แท้จริงสีน้ำเงินก็จะเข้มกว่าเทากลาง แต่ภาพนี้ ปรับสีแต่ละสี ให้มันเห็นความต่างด้วยครับ 

ฉะนั้น ถ้าในภาพที่เราถ่าย มีสีเหลืองจำนวนมาก ก็เป็นไปได้ว่า ภาพที่ถ่ายมาจะมืดเกินไป ต้องปรับชดเชยไปทาง +

ส่วนภาพที่มีสีน้ำเงินมาก ก็เป็นไปได้ว่าจะสว่างมากเกินไป ต้องปรับชดเชยไปทางลบ - 

ซึ่งการวัดแสงกล้องแต่ละรุ่น ให้ศึกษาจากคู่มือเองนะครับ  เพราะมีทั้ง วัดแสงเฉพาะส่วน, เฉพาะจุด, เฉลี่ยทั้งภาพ, หนักกลาง ฯลฯ

ความหมายก็เหมือนกัน เพียงแต่ เพิ่มจุดในการวัดต่างๆไป เช่นหนักกลาง ก็ให้ความสำคัญกับกลางภาพ มากกว่า ส่วนเฉลี่ยทั้งภาพ ก็ใช้วัดทั้งเฟรมที่ถ่ายเลย แต่กล้องจะมีการคำนวณให้ค่าแสงแม่นยำที่สุด


และสถานการณ์ที่วัดแสงพลาดมากที่สุดเช่น ถ่ายย้อนแสง เช่นภาพถ่ายหน้าคน โดยมีพระอาทิตย์อยู่ด้านหลัง อย่างนี้ ย้อนแสงแน่ 
-ถ้าเราวัดแสงที่หน้าคน แสงที่หน้าก็จะพอดี แต่พระอาทิตย์ อาจจะสว่างเกินไป
-ถ้าเราวัดแสงที่ฉากหลังหรือพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ก็คงจะสวยดี แต่หน้าแบบจะมืด เพราะแสงต่างกันมากๆ  เป็นข้อจำกัดของกล้องถ่ายภาพ

กรณี อย่างนี้ ก็ต้องเลือกว่าอันไหนสำคัญกว่า แต่ถ้าต้องการทั้งสองอย่าง อาจจะใช้วิธีวัดแสงที่ฉากหลัง แล้วเพิ่มแสงแฟลช เพื่อให้หน้าคนสว่างเท่ากันพอดี


วันนี้ขอจบเท่านี้ก่อนนะครับ  มันจะยาวเกินไป อิอิ